ราชวงค์บนีอุมัยยะฮ์ อับบาซียะฮฺ และ สาเหตุการล่มสลาย

ราชวงค์บนีอุมัยยะฮ์ อับบาซียะฮฺ และ สาเหตุการล่มสลาย
ยุคราชวงค์ อุมัยยะฮฺ ฮ.ศ.41-132(ค.ศ.661-750)
มุอาวียะฮฺ ฮ.ศ. 41-60 (ผู้แรกที่จัดตั้งกองทัพเรือในอิสลาม)
ยะซีด บิน มุอาวียะฮฺ ฮ.ศ.60-64
อับดุลเลาะฮฺ บิน ซุเบร ฮ.ศ.64-73
อับดุลมาลิก บิน มัรวาน ฮ.ศ. 65-86
วะลีด บิน อับดุลมาลิก ฮ.ศ. 86-96
สุไลมาน บิน อับดุลมาลิก ฮ.ศ. 96-99 (ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า กุญแจแห่งความดี)
อุมัร บิน อับดุลอาซิซ ฮ.ศ. 99-101 (ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า คอลีเฟาะฮฺคนที่ห้าในอิสลาม)
ยะซีด ซานี บิน อับดุลมาลิก (ยะซีดที่2) ฮ.ศ. 101-105 (ผู้ที่ต้องการทำตาม อุมัร บิน อับดุลอาซิซ)
ฮิชาม บิน อับดุลมาลิก ฮ.ศ. 105-125
วะลีด ซานี บิน ยะซีด (วะลีดที่ 2) ฮ.ศ. 125-126 (ผู้ซึ่งชอบดื่มเหล้า และหลงใหลในบทกวี)
ยะซีด ที่ 3 ฮ.ศ. 126 (ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า ผุ้ไร้ซึ่งความสามารถ)
อิบรอฮีม บิน วะลีด ฮ.ศ. 126-127
มัรวานที่ 2 ฮ.ศ. 127-132 (ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า เจ้าลา)
สาเหตุบางประการของการล่มสลายของของราชวงค์บนีอุมัยยัฮฺ
1. การเติบโตของระบบกษัตริย์แทนที่ระบบคอลีเฟาะฮฺ
2. การไม่เคารพผู้นำทำให้เกิดฟิตนะฮฺความวุ่นวายขึ้น
3. การแตกแยกและความคิดสุดโต่งในหมู่มุสลิม
4. การลอกเลียนสิ่งที่เสียของวัตนธรรมอื่นๆ
5. มิชาฐิติในชาติตระกูลและเผ่าพันธุ์
6. การขายการขาดการวางแผนในระยะยาว


ความเจริญในสมัยราชวงค์อุมัยยะฮฺ
1. มีการการรจัดระเบียบกองคลังสาธารณะ
2. มีการจัดตั้งกรมตำรวงและให้อำนาจแก่กฎหมาย
3. มีการจัดรวมกองทัพบท
4. มีการใช้เหรียญกษาปณ์
5. มีการจัดตั้งกองทัพเรือและอุตสาหกรรมการต่อเรือที่ยิ่งใหญ่
6. ความเจริญทางด้านศิลปะวิชาการ มีการแปลงานหนังสือวิชาการต่างๆ


ยุคราชวงค์ อับบาซียะฮ.ศ. 132-656(ค.ศ.750-1258)
คอลีเฟาะฮฺที่เด่ดๆในสมัย อับบาซียะฮ์
อบู อับบาส อัศ ศ็อฟฟะฮฺ
มุฮัมหมัด มะฮฺดี (ผู้ซึ่งใช้เงินในคลังจนหมด)
ฮารุน อัรเราะซีด (ยุคทองของราชวงค์อับบาซียะฮฺ)
มุฮัมหมัด อามีน บิน ฮารูน (วังของเขาเต็มไปด้วย ผู้หญิง สวนสัตว์ที่มีสัตว์ต่างๆทั่วทุกมุมโลก และขันทีตัวตลก)
มะมูน อัลเราะซีด(ยุคทองในทุกๆด้านของราชวงค์อับบาซียะฮฺ)
มุตะซิมบิลลาฮฺ (ผู้ซึ่งได้ฉายาว่า คอลีเฟาะฮฺ ทหาร)
มุตะวักกัลอะลัลลาฮฺ (ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า ผู้พิทักษ์ซุนนะฮฺ และ เป็นยุคแห่งความสำราญ)
สาเหตุบางประการของความตกต่ำของราชวงค์อับบาซียะฮฺ
1. การแบกแยกระหว่างชาวอาหรับกับคนที่ไม่ไช่อาหรับ
2. การขัดแย้งระหว่างซุนนีและชีอะฮฺ
3. การถกเถียงในเรื่องที่ไร้สาระและการดูหมิ่นผู้รู้ศาสนา
4. การเลียนแบบที่ไม่ไช่อิสลาม
5. การให้ความสำคัญกับเรื่องหรูหราและอลังการ

ความผิดพลาดและความล้มเหลวอื่นๆ
1. การคิดที่จะแก้แค้นศัตรูและฝ่ายตรงข้ามของตน
2. การรักสิ่งหรูหราและไม่ชอบทำงานหนัก
3. การนำทรัพยากรของรัฐไปใช้อย่างสุรุยสุรายในเรื่องส่วนตัว
ความรุ่งเรืองในสมัยราชวงค์อับบาซียะฮฺ ยุคต้นของราชวงค์อับบาซียะฮฺเป็นยุคแห่งความรุ่งโรจน์ในประวัติศาสตร์อิสลาม ความจริงแล้วมันเป็นยุคสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษยชาติด้วยซ้ำ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ศิลปะ วิทยาศาสตร์ อารธรรม การค้าและอุตสาหกรรม มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ด้วยความรุ่งเรืองดังกล่าว เมืองแบกแดดจึง เป็นเมืองที่มีความมมั่งคั่งอบังการโออ่าท่สุดของโลกในสมัยนั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมกระดาษที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างเดียวก็ถือว่ายุคอับบาซียะฮฺได้มีส่วนสำคัญที่สุดต่อการสร้างความเจริญก้าวหน้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ และอารยธรรมของโลก แม้แต่ผู้ที่ไม่ไช่มุสลิมก็ยังได้รับประโยชน์อีกมากมายจากความเจริญก้าวหน้านี้

สรุปโดย Anas Dawor (ibnu sha-ti-E) อ้างอิงจากหนังสือ History of Islam,Dr. Abdul Rauf

เรื่องราวของการหลงรัก, ทัศนะของ เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ

เรื่องราวของการหลงรัก, ถ้าหากผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งอย่างห่างๆเธอจะบาปไหม
คำตอบ อัลฮัมดุลิลอฮฺ
อิสลามได้ปิดประตูในการนำไปสู่ความชั่วและสกัดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะนำไปสู่ความชั่ว ความรักและความหลงไหลในตัณหาคือ หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/129
“ความรัก คือ โรคทางด้านจิตใจชนิดหนึ่ง ถ้าหากมันเติบโตขึ้นก็จะส่งผลกระทบและกลายเป็นโรคทางด้านร่างกายในที่สุด ทั้งการเจ็บไข้ได้ป่วยและความคิดที่ผิดๆ โรคเหล่านี้เป็นสาเหตุมาจาก วัสวาสะ(การกระซิบกระซากของซัยตอน) ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และ ซูบผอม”
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/132
“ความรักที่มีต่อหญิงที่ไม่ไช่มัฮรอมนั้นจะนำไปสู่ผลเสียอย่างมากมายเพราะขอบเขตของความรักทั้งหมดเพียงเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น ฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อความรับผิดชอบในการรับใช้ศาสนา หลังจากนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายของเขา แค่หนึ่งผลกระทบของการรักเพศตรงข้ามก็เพียงพอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าเรากำลังเป็นบ่าวของจิตใจ ไม่สามารถห่างเหินจากคนที่เรารักได้ ดังนั้น ความรักคือประตูไปสู่การลดเกียรและการยอมรับใช้”
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/185
“หากชายคนหนึ่งหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งและถึงแม้ว่านางจะตกลงปลงใจ แต่หัวใจของหัวเขาก็ยังคงตกเป็นบ่าวของนางอยู่ดี นางสามารถสั่งให้เขาทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ ทั่งๆที่เขาดูเหมือนว่าจะเป็นนายของนาง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็คือผู้ต้องขังหรือบ่าวที่จงรักภักดีนั้นเองดีนั้นเอง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตระหนักถึงความรักความต้องการของเขาที่มีต่อนาง นางสามารถบังคับเขาเสมือนผู้เป็นนายบังคับบ่าวผู้ซึ่งไม่สามารถหนีจากผู้เป็นนายได้ มิหนำซ้ำอาจมากกว่านั้นก็เป็นได้ เพราะการเป็นบ่าวของหัวใจมันเลวร้ายมากกว่าเป็นบ่าวของร่างกาย”
ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่มีต่อเพศตรงข้ามจะไม่เกิดขึ้นในหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่ออัลลอฮ นอกเสียจากหัวใจที่อ่อนแอและว่างเปล่า
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/135
“ถ้าหากหัวใจมีแต่อัลลอฮเพียงองค์เดียวและให้ความสำคัญต่อพระองค์ เราก็ไม่คิดที่จะรักใครเป็นอับดับแรกและก็จะไม่ไปตกหลุมรักใคร เมือใดที่หัวใจไปตกหลุมรักใครก็แสดงว่าความรักของเราที่มีต่ออัลลอฮยังน้อยอยู่ ดังเช่น ท่านนบียูโซฟรักอัลลอฮและทำตามอัลลอฮทุกอย่างท่านจึงไม่ตกหลุมรักใคร
บทลงโทษของความรัก อัลลอฮได้กล่าวว่า(ซูเราะฮฺยูซุฟ 12:24)
{كَذَلِكَ لِنَصْرِفَ عَنْهُ السُّوءَ وَالْفَحْشَاء إِنَّهُ مِنْ عِبَادِنَا الْمُخْلَصِينَ}
เช่นนั้นแหละเพื่อเราจะให้ความชั่วและการลามห่างไกลจากเขา แท้จริงเขาคือคนหนึ่งในปวงบ่าวของเราที่สุจริต
มุสลิมต้องรักษาและป้องกันตัวของเขาจากบรรดาสิ่งที่จะสิ่งผลกระทบในทางที่ไม่ดี ไม่นำตัวเองไปสู่สิ่งนั้น และอย่าล้มเหลวในการต่อต้านมัน ถ้าหากเขาล้มเหลวในการต่อต้านอารมณ์ความรักที่ผิดๆ สิ่งที่ตามก็คือการทำสิ่งที่ฮารอมฟังของที่ฮารอมและไม่สนใจว่าขอบเขตของการพูดคุยกับเพศตรงข้ามมีว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นเป็นผลกระทบของความรักที่เขาต้องเจอ สุดท้ายเขาก็จะถูกลงโทษจากการกระทำของเขา
หลายต่อหลายคนละเลยในจุดเริ่มต้นของปัญหาแล้วก็คิดว่า พวกเขาสามารถที่จะแก้ไขมันได้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ หรือ พวกเขาสามารถที่จะหยุดมันให้อยู่ในขอบเขตไม่ให้มันลุกลาม จนกระทั่งโรคร้ายรุนแรงขึ้นและไม่สามารถรักษาได้
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า เราดะฮฺ อัลมูฮีบบีน/ 147
“ถ้าหากผลของการกระทำเกิดขึ้นจากสาเหตุที่เขาเลือก ไม่มีเหตุผลที่เขาจะอ้างว่ามันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาถ้าเหตุผลนั้นมันฮารอม เช่นเดียวกับ คนที่ดืมเหล้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะอ้างว่าเขาสามารถดื่มเหล้าได้ ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการมองคนๆหนึ่งแล้วเราก็ยังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวคนๆนั้นเปรียบเสมือน เหตุผลของคนที่ดื่มเหล้า เราก็จะเป็นสาเหตุในเรื่องดังกล่าว”

ถ้าหากเราหลีกหนีจากสิ่งที่จะนำไปสู่โรคร้ายโดยการลดละสายตาไม่มองไม่ฟังในสิ่งที่ฮารอมและป้องกันไม่ให้ความคิดของไซตอนผ่านเข้ามาในจิตใจสิ่งทีไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้น การชำเหลือบมองถือว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่ยอมรับได้และถ้าหากจิตใจของเขายังคงผูกมัดกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็จะไม่มีความผิดอินซาอัลลอฮ เพราะอัลลอฮได้กล่าวไว้
{لاَ يُكَلِّفُ اللّهُ نَفْساً إِلاَّ وُسْعَهَا}

เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/10
“ถ้าหากผลของการกระทำไม่ได้มาจากสาเหตุของการละเลย สำหรับเขาแล้วก็จะไม่มีมีความผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขา”

เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า เราดะฮฺ อัลมูฮีบบีน 147
ถ้าหากความรักเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความชอบธรรมไม่เป็นสิ่งฮารอม เชกเช่น คนหนึ่งรักภรรยาหรือทาสหญิงหลังจากนั้นเธอก็ได้จากไป แต่ความรักที่มีต่อนางยังคงมีอยู่เขาจะไม่มีความผิดจากเรื่องนั้น คล้ายคลึงกับเหตุการณ์การชำเลืองมองโดยไม่ได้ตั้งใจจากนั้นเขาก็เบนสายตาหนีแต่เขาก็ได้ตกหลุมรักจนหมดใจ อย่างไรก็ตามเขาต้องขจัดความรู้สึกนั้นออกไป

และเขาต้องรักษาหัวใจของเขาโดยการหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นและการรักอัลลอฮฺให้มากขึ้นขอดุอาร์ในความช่วยเหลือจากพระองค์ อย่าอายที่จะปรึกษาผู้รู้และคนที่ไว้วางใจในการรับข้อชี้แนะ หรือ ปรึกษาแพทย์และนักจิตวิทยา เพราะเขาอาจจะได้รับการเยียวยาที่ดี เขาต้องอดทน ทำอามาลให้มาก ไม่เข้าไกล้การซีนา สงบเสงี่ยม อัลลอฮฺก็จะทวีผลบุญให้แก่เขา อินชาอัลลอฮฺ
เชค อัลอิสลาม อิบนู ตัยมียะฮฺ (รอฮีมาฮูลอฮฺ) ได้กล่าวว่า ในมัจมูอ อัล ฟัตวา 10/133:
“ถ้าเขาถูกทดสอบด้วยความรักแต่เขารักษาความบริสุทธิและอดทน เขาจะได้รับผลบุญจากการเกรงกลัวอัลลอฮฺ จากหลักฐาน ชารอี ที่ว่า ถ้าคนหนึ่งรักษาความบริสุทธิของเขาและหลีกเลี่ยงในการทำสิ่งที่ฮารอมจากการมอง การพูด และการกระทำ เขาเงียบและไม่คุยในสิ่งเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่ฮารอมทีจะพูดในเรื่องดังกล่าวแม้กระทั่งการกล่าวหาคนอื่น หรือ การไล่ตามคนที่ตนหลงรักในทุกวิธีทาง เขาอดทนในการเชื่อฟังอัลลอฮฺและหลีกเลี่ยงในการกระทำบาป ถึงอย่างไรก็ตามความเจ็บปวดที่ได้มาจากความรักมันเป็นเพียงหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกทรมาน แต่เขาก็จะเป็นคนในผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺและผู้เป็นบ่าวที่มีความอดทน
{إِنَّهُ مَن يَتَّقِ وَيِصْبِرْ فَإِنَّ اللّهَ لاَ يُضِيعُ أَجْرَ الْمُحْسِنِينَ}

วัลลอฮฺ อะลัม
แปลและเรีบยเรียงโดย Anas Dawor (Ibnu sha-ti-E)
Ref: Islamway.com

เจ้าหญิงของฉัน......เพราะเธอมีค่าเหนือสิ่งใด


เจ้าหญิงของฉัน...... ฉันรู้สึกเป็นทุกข์และร้อนใจ เมือแลเห็นบรรดาดอกไม้ถูกเด็ดดอมดมด้วยมือที่หยาบกระด้างจนไม่เหลือความหอม

เจ้าหญิงของฉัน..... หัวใจของฉันเต้นรั่วเมือได้ยินว่า เหล่าแมลงร้ายพยายามที่จะสูบเกสรถึงแม้ดอกไม้นั้นจะไม่เต็มใจที่จะให้ก็ตาม

เจ้าหญิงของฉัน......ความพะวงของฉันยิ่งทวีเพิ่มขึ้น เมือปรากฎแก่สายตาว่าบรรดาดอกไม้เหล่านั้นไร้ซึ่งยางอายในการอวดโฉมความสวยงามเมือครั้งเบ่งบานจนลืมไปว่ามีใบอ่อนเคยปกคลุมมันอยู่

เจ้าหญิงของฉัน......ฉันยังคงเศร้าเสียใจไม่รู้ว่าเจ้าหญิงของฉันจะมีตัวตนหรือไม่ เมือวันนี้บรรดาดอกไม้ทยอยร่วงหล่นเสมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เจ้าหญิงของฉัน.....ฉันไม้ได้หวังให้เธอเสมือนซีตีฮาวา ไม่ได้เปรียบตัวเธอดัง อัยนุลมัรดีนะฮฺที่เฝ้ารอคนรักอยู่ข้างประตูสวรรค์

เจ้าหญิงฉัน........ถึงแม้ความเป็นจริงแล้วเธอมิอาจเปรียบได้กับ ซีตีคอดีเยาะฮฺหรือแม้แต่ ซีตีฟาตีมะฮฺ เธอไม่ไช่ อาอีชะฮฺ หรือ รอบีตุลอาดาวียะฮฺ บรรดาสตรีที่บริสุทธิก็ตามแต่ อันที่จริงฉันก็ไม่ได้หวังให้เธอเป็นอย่างพวกนางเลย แค่เพียงเธอพยายามที่จะเป็นดังดอกไม้เหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว เบ่งบานโชยกลิ่นหอมไปเยือนประตูสววรค์ จงอย่าวิตกไปเลย เจ้าหญิงของฉัน......บางครั้งเธออาจไม่สามารถเบ่งบาน อวดโฉมให้ใครต่อใครเห็นถึงความสวยงามของเธอ นั้นคือบททดสอบสำหรับเธอ

เจ้าหญิงของฉัน.....วันพรุ่งนี้กำลังมาเยือนและเธอก็สามารถอวดโฉมความงดงามของเธอ หากแต่ในวันนี้ฉันหวังว่าเธอจะรักษาความงดงามของเธอ อย่าให้มือที่หยาบกรานไปสัมผัสกับความอ่อนโยนของเธอ อย่าให้บรรดาแมลงร้ายมาดอมดมความหอมของเธอ อย่าปล่อยเหล่าอีกาทำลายกึ่งกางใบของเธอ เพราะเธอคือ เจ้าหญิงที่งดงาม

เจ้าหญิงของฉัน.......ฉันไม่ได้มองรูปลักษณ์ภายนอกว่าเธองดงามแค่ไหน ถึงแม้ว่าบางครั้งความสวยความงามอาจจะทำให้ฉันไขว่แคว้ง แต่นั้นไม่ไช่สิ่งที่ฉันปราถนา ฉันศรัทธาว่าเจ้าหญิงของฉัน มีความงดงาม ความอ่อนโยน ความสดใส ความร่าเริง ความน่ารัก ภายในตัว ทำให้ฉันเต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อรู้ว่า เจ้าหญิงตัวจริง อยู่ตรงหน้า

แปลและเรียบเรียงโดย Anas Dawor (Ibnu sha-ti-E)

Love in Isamic point of view

What is Islamic point of view about falling in love? It is allowed or not? if it is allowed, how can we show our love without Fitnah?

In Islamic point of view, it does not matter to love someone particularly because we as a human being cannot control our natural feeling. By the way, we have response and will be investigated if we still feel like that and lead to evil and sin.
Islam imposes a strong condition about interaction between man and woman. It means Islam does not allow making a dating and interdiction of staying privately between man and woman. It is included mixing up without considering
However, if it is not suppose to be like that, the thing that he or she has to consider is to marry. This line does not prohibit in Islamic point of view. Truly Islam support to get marriage with the one who we satisfied. Islam permits the couple to see each other before getting marriage as the prophet said to increase relationship between them.
Even though it is allowed to see each other, we are advised to see not only the image. This thing may lead into a big mistake because the marriage is to be householder. Man worth cannot consider from image but personality and mind. Common people decide from countenance and status. The prophet Muhammad (peace be upon him) orders us to decide from religion and manners before all the thing.

แปลและเรียบเรียงโดย Anas Dawor (Ibnu sha-ti-e)

คำถามเกี่ยวกับเดือนรอมฏอน ตอบโดย เชค สาลิม อัล อัมรี

คำถาม หากเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าในสภาพที่มี จานาบะฮฺ (ยังไม่ได้ยกฮาดัส) อยู่ จะทำให้การถือศิลอดเป็นโมฆะหรือไหม และทำให้ผลบุญลดลงไหม?
คำตอบ หากเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าอยู่ในสภาพ จานาบะฮฺอยู่ หรือ ฝันเปืยก ไม่ได้ทำให้การถือศิลอดของเราเป็นโมฆะแต่อย่างใด ท่านหญิงอาฮีชะฮฺกล่าวในฮาดิษบุคอรี ว่า ท่านนบีเคยตื่นขึ้นมาในสภาพจานาบะฮฺ และท่านก็ดำเนินการถือศิลอดขอท่านต่อ สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้การถือศิลอดเป็นโมฆะแต่อย่างใด ดังนั้นเป็นสิ่งที่สมควรตามซุนนะฮฺหลังที่เราเข้าหาภรรยาเราควรอาบน้ำยอกฮาดัสก่อน หรือไม่อย่างน้อยก็อาบน้ำละหมาดก่อนเข้านอน

คำถาม ผมอยู่ในประเทศที่กลางวันมีช่วงเวลายาวกว่ากลางคืนผมควารทำอย่างไรกับการถือศิลอดของผม?
คำตอบ อุลามาได้ตอบคำถามนี้ไว้แล้ว ไม่ไช่แค่อุลามาฮฺอย่างเดียวนบีก็ได้ให้คำตอบนี่แล้ว โดยเฉพาะสถานที่ที่มีช่วงเวลากลางวันนานกว่ากลางคืน คำตอยก็คือ ไม่ว่ากลางวันจะนานแค่ไหนก็ต้องทำการถือศิลอดตามวันนั้นๆ แต่ในบางสถานที่ไม่มีกลางคืน ยกตัวอย่างบางประเทศที่มีกลางวันหกเดือนและกลางคืนหกเดือน ในที่นี้มี สอง ทัศนะ หนึ่ง คือ ตามวันเวลาของมะกะฮฺ เพราะมะกะฮฺป็นศุนย์กลางของโลก สอง คือ ตามวันเวลาของประเทศที่อยู่ใกล้ประเทศนั้นๆ

คำถาม ผมอยู่ในทวีปยุโรบบางวันเวลากลางวันนานถึงยี่สิบแล้วจะทำอย่างไร
คำตอบ อย่างที่บอกไปก็ต้องทำการถือศิลอดตามวันนั้นๆ ถึงแม้ว่ากลางวันจะยาวแค่ไหน ในทางกลับกันมีบางวันที่กลางวันสั้นกว่ากลางคืน เพียงไม่กี่ชั่วโมงเองที่เราต้องทำการถือศิลอด นั้นคือ ความยุติธรรมแล้ว

คำถาม ตามที่เรารู้ว่าในเดือนรอมฏอนต้องมีการเอี้ยตีกาฟในสิบวันสุดท้ายของเดือน แต่มีบางคนที่กำหนดช่วงเวลาให้สั้นลง ตัวอย่างเช่น ห้าวัน หรือ หกวัน ท่านมีความคิดต่อเรื่องนี้อย่างไร
คำตอบ เราต้องความมั่นคงตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งสิ้นเดือนไม่ไช่แค่เจาะจงวันเวลา อินชาอัลลอฮฺถ้าเรามีความตั้งใจจริงทำอามัลอีบาดะฮฺเยอะๆอัลลอฮฺจะให้เราปลอดภัยจากไฟนรก

คำถาม อย่างที่เรารู้อยู่กันว่าเดือนรอมฏอนเป็นเดือนอันประเสริญสำหรับมุสลิม วิธีง่ายๆที่เราจะใช้เวลาในเดือนรอมฎอนให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเราควรทำอย่างไร
คำตอบ มุสลิมมากมายลืมไปว่าคุณค่าของการถือสิ่งอดนั้นคือ ตักวา อะไรคือการถือศิลอดสำหรับเขานั้นก็คือ เพียงแค่อดอาหารและอดน้ำเท่านั้นเอง แต่ในขณะเดียวกันเขาใช้เวลาระหว่างนั้นอย่างไร พวกเขาใช้เวลาหมดกับการดูและฟังสิ่งที่ไร้สาระ ผมขอแนะนำว่าอย่างน้อยเราควรปิดทีวีทั่งเดือนในเดือนรอมฏอนเลย อีมานของเราก็จะเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันอีมานของเราจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไรในต่อเมือเรายังดูสิ่งที่ไร้สาระอยู่ ดวงตาหูและอวัยวะต่างๆควรที่จะถือศิลอดด้วย รอมฏอนเป็นเดือนของอัลกรุอานคนรุ่นก่อนๆสาลาฟ พวกเขาเหล่านั้นอุทิศตนเพื่อเดือนนี้ทั่งการอ่านอัลกุรอานและทำอามัลอีบาดาต โดยเฉพาะการอ่านอัลกุรอานมีมุสลิมมากมายอ่านกุรอานแค่เพียงในเดือนรอมฏอนเท่านั้น หลังจากรอมฏอนแล้วพวกเขาก็เก็บใส่ไว้ในตู้อย่างที่ท่านบีได้ฟ้องต่ออัลลอฮฺว่า อุมมะฮฺของฉันได้ละเลยต่อกุรอานยาอัลลอฮฺ เราไม่ได้ใช้กุรอานเลย กรุอานจะเปลี่ยนแปลงตัวเราเพียงแค่เรากลับไปหามัน มุสลิมจะเข้มแข็งต้องกลับไปหาอัลกุรอานลองคิดดูแค่เพียงคำว่า อาลิฟลามมีน ไม่ไช่แค่อายะฮฺล่ะหนึ่งผลบุญแต่เรากลับได้สิบฉะนั้นจงอ่านอัลกุรอานเถิด


คำถาม อย่างที่เรารู้อยู่ว่ารอมฏอนคือเดือนของกุรอาน วิธีการอ่านกุรอานที่สุดควรอ่านอย่างไร
คำตอบ เราควารอ่านกุรอานเท่าที่เราสามรถอ่านได้ ไม่ไช่การอ่านแบบคราวๆ เราควรอ่านอย่าง ตาดาบบุร อ่านอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากมุสลิมบางคนแข่งขันกันในการอ่านกุรอาน อย่างเช่น คุณอ่านกุรอานได้กี่ซุสแล้วเป็นต้น ในทางกลับกันเขาเข้าใจสิ่งที่เขาอ่านหรือเปล่านั้นคือปัญหา อิบนู มัสอูดกล่าวว่า จุดมุงหมายไม่ไช่แค่เพียงให้จบซูเราะฮฺหากแต่ต้องเข้าใจในสิ่งที่อ่าน จงอ่านและเข้าใจความหมายของมัน ที่สำคัญที่สุดเราต้องเอากุรอานเป็นวิถีชีวิตของเรา กุรอานจะเปลี่ยนตัวเรา อย่างที่กุรอานได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของซอฮาบะฮฺ

คำถาม การเอี้ยตีกาฟ ต้องทำในสามมัสยิดที่นบีบอกหรืออย่างไร
คำตอบ ในกุรอานบอกว่า จงเอี้ยตีกาฟในมัสยิดต่างๆ มัสยิดในที่นี้ไม่เจาะจงว่าที่ไหนๆ แต่ในทางกลับกันมีฮาดิษที่เชือถือได้กล่าวว่า ไม่มีการอิกตีกาฟเพียงแต่ในสามมัสยิดเท่านั้น ฮาดิษดังกล่าวไม่ได้ขัดแย้งกับกุรอานแต่อย่างใด อุลามาได้ให้คำอธิบายว่า อิกตีกาฟจะต้องทำในมัสยิดที่ทำการทำละหมาดญามาอะฮฺจะเป็นมัสยิดใดก็ได้ แต่ถ้าทำในสามมัสยิดดังกล่าวจะได้ผลบุญมากกว่าที่อืนๆ



คำถาม เชคคิดอย่างไรกับคนที่บอกว่าเจอสิ่งแปลกๆ หรือ สิ่งเร้นลับในคืนลัยลาตุลก็อดร
คำตอบ มันเป็นเรื่องที่ไม่จริง บางคนก็กล่าวเช่นกันว่า ได้เจอกับคีดาร ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดานบี ถ้าเจอเขาแล้วจะขออะไรก็ได้ นี้เป็นเพียงแค่เทพนิยายซึ่งคีดารก็ได้เสียชีวิตแล้ว อิบนูฮาญาร อัษ กาลานี ได้เขียนหนังสือต่อต้านเกี่ยวกับเรื่อง ราต้องรียนรู้ซุนนะฮฺเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้
แปลและเรียบเรียงโดย Anas Dawor (Ibnu Shati –E)
Ref: Salim Al-Amry Shown on Huda TV
Ramadan Resources: http://kalamullah.com/ramadan.html

ถ้าหากฉันตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก

โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากฉันตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก โปรดนำความรักของฉันให้แก่คนที่รักพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม คนที่สามารถเพิ่มพูนความรักของฉันที่มีต่อพระองค์
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากฉันตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก โปรดอนุญาตให้ฉันตกลงปลงใจให้กับคนที่หัวใจของเขามีแต่พระองค์ อย่าปล่อยให้ฉันตกอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์แห่งตัณหา
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากฉันตกอยู่ในหวงของความรัก โปรดรักษาหัวใจของฉัน อย่าทำให้มันห่างเหินจากพระองค์เลย
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากฉันจะคิดถึง โปรดให้ความคิดถึงของฉันแก่คนที่คิดถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลา
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์ให้ความเพลิดเพลินในความรักของคนที่พระองค์รัก โปรดอย่าให้ความเพลิดเพลินนั้นมาบั่นทอนการเตาบัตของฉันในช่วงเวลากลางคืนด้วยเถิด
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากฉันตกหลุมรักคนที่พระองค์รัก โปรดอย่าปล่อยให้หัวใจของฉันอ่อนแอและท้อแท้ในการเรียกร้องผู้คนไปสู่พระองค์
โอ้ อัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์ปล่อยให้ฉันคิดถึงคนที่พระองค์รัก โปรดอย่าทำให้ฉันพ้นจากขอบเขตจนทำให้ลืมพระองค์และละเลยในความรักที่แท้จริง และ การคิดถึงที่เป็นนิรัน นั่นคือ การรักพระองค์ อามีน.......
แปลและเรียบเรียงโดย Anas Dawor(Ibnu Sha-ti-E)

ทฤษฏีการอ้วกในห้องสอบ


อัสสามมูอาลัยกุม
เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมการเรียนต้องมีการสอบด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะครับตอนนี้ก็น่าจะเป็นฤดูแห่งการสอบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่คิ้วติดกัน หน้าเครียดๆกันไปหมด ถ้าเราสังเกตดูสิ่งสำคัญที่สุดในการอ่านหนังสือนั้นก็คือ “ความจำ” เพราะตามที่เรารู้ๆกันอยู่อาวุธที่สำคัญที่สุดในการสอบนั้นก็ความรู้ที่เราจำจากที่เราอ่าน ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้จำได้ดี ตามบทกลอนของอีหม่ามซาฟีอีย์ที่กล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้วความรู้คือแสงของอัลลอฮ” อีหม่ามซาฟีย์เป็นผู้ที่มี่ความจำอย่างยิ่งยวดถึงขนาดเวลาท่านจะอ่านหนังสือหรือท่องจำอะไรสักอย่างท่านต้องปิดหน้าหนึ่งแล้วก็อ่านอีกหน้าหนึ่งของหนังสือเพราะกลัวว่าจะจำมั่วและครั้งหนึ่งท่านไปหาอาจารย์ของท่านที่มีชื่อว่า “วากีล” (ถ้าผมจำไม่ผิด)แล้วก็ศึกษาอย่างปกติแต่ที่ไม่ปกติก็คือความสามารถในการจำของท่าน แล้วท่านก็เล่าให้อาจารย์ท่านนั้น อาจารย์ท่านนั้นก็ได้ถามอีหม่ามซาฟีอีย์ว่าไปทำอะไรมาเมือเช้า ท่านอีหม่ามซาฟีอีย์ก็นึกขึ้นได้ว่า เมือเช้าในระหว่างท่านเดินอยู่นั้น มือของท่านไปสัมผัสกับขาของผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่านอาจารย์ของเขาก็ได้ตอบว่า นั้นแหละคือสาเหตุ เราก็ลองมาสำรวจตัวเองดูว่าวันๆเราได้ทำอะไรไปบ้างคงไม่ต้องอธิบายให้ออกทะเลไปเรารู้อยู่แก่ใจดีนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยพอถึงฤดูการสอบเรามักจะใช้ “ทฤษฏีการอ้วก” แล้วนำวิธีนี้มาใช้ในห้องสอบเป็นวิธีนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษา ทฤษฏีนี้ก็คือ การกินให้เยอะ แล้วก็อ้วกออกมาให้มากเท่าความสามารถ ปกติแล้วเราจะไม่อ่านหนังสือในเวลาว่างหรอกครับหมายถึงส่วนใหญ่เราจะไม่อ่านจนเส้นยาแดงผ่าแปด เรามักจะอ่านในคืนวันสอบหรือสองสามวันก่อนวันสอบอ่านให้มากที่สุดจำให้มากที่สุดแล้วใช้ความจำของเราที่ได้อ่านนั้นใช้ในห้องสอบเราเคยแปลกใจไหมว่าทำไมเราอ่านแล้วจำทันทีเลยในช่วงค่ำคืนเดียวนั้นแหละครับที่เขาเรียกว่า ทฤษฏีการอ้วก อาหารที่เราทานเข้าไปเสมือนความจำ พอถึงห้องสอบก็อ้วกออกมาไม่มีอะไรติดท้องเลย พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกหิวขึ้นมา แต่ผมว่าถ้าจำเป็นก็น่าใช้วิธีนี้นะครับดีกว่าปล่อยให้ท้องว่าง เดี้ยวกระเพาะถามหาจะปวดท้องไม่สบายอีกและเราอาจไม่ลืมโรคกระเพาะนี้ก็เป็นได้(จำเลย)
สุดท้ายขอดุอาร์ให้ทุกคนสอบผ่านได้คะแนนงามๆดีๆ ผมขอตัวไปใช้ทฤษฏีการอ้วกก่อนครับใกล้สอบแล้ว
อัลลอฮคุ้มครองคราบบบบบบบ

เรียบเรียงโดย Anas Dawor(Ibnu-sha-ti-E)

ระหว่างเรากับอายุนั้นเป็นเพียงตัวเลข... รู้ไหม?



ลุงครับเท่าที่ผมจำความได้ ลุงเป็นลุงที่ใจดีมีมารยาท สุขุม เยือกเย็น
ทุกถ้อยคำที่ลุงพูด....เป็นคำสอน ทุกอากัปกริยาที่ลุงทำ...เป็นข้อเตือนใจให้คิด
ลุงครับ ประโยคเดียวที่ลุงจะพูดกับผมเสมอว่า”ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า
” ผมยังจำได้ไม่ลืม แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายจริงๆของลุง...
ลุงครับ... ลุงทำได้อย่างไรครับ?
...เดินไปละหมาดซุบฮึที่มัสยิดตั้งแต่ตี 4 ถึงตี5 ถึงระยะทางระหว่างมัสยิดกับบ้านมันอาจไม่ไกลกันมาก
แต่ลุง...แก่แล้ว ลุงก็ยังฝืนทำ เพียงประโยคๆเดียว” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ... ทุกวันจันทร์ วันพฤหัส ลุงไม่เคยขาดถือศีลอดซุนนะฮ.
ทั้งๆที่ลุงก็ต้องกินยาตามที่หมอสั่งทุกครั้งหลังอาหาร ผมเห็นมือลุงสั่น แต่ลุงก็ยังยืนยันประโยคเดิม” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ... คนสูงอายุคนอื่น ยิ่งแก่ตัว ความจำก็ยิ่งเลอะเลือน
แต่ลุงไม่ใช่...ภายใน1ปี ลุงสามารถท่องจำกุรอานได้1 ญุซอ์.อย่างสบายๆ แต่มันกลับเป็นเรื่องหนักหนากับคนหนุ่มอย่างผม แต่ลุงก็ยังคงยืนยันประโยคเดิม” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ... ผมอยากให้ลุงพักผ่อนมากๆ สุขภาพจะได้แข็งแรงเพื่อลุงจะได้อยู่กับผมได้นานๆ
แต่ทุกคืนผมเห็นลุงลุกขึ้นมาละหมาดตะฮัจญุด น้ำตาแห่งความเป็นผู้ชายของลุงนองหน้าตอนที่ลุงขอดุอาอ.
ให้ลูกหลาน ลุงไม่ง่วงหรือล้าบ้างหรือครับ ผมเห็นลุงได้แต่ยืนยันเหมือนเดิม
” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ...ลุงมักจะดุผมว่าใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์
ผมไม่เคยเห็นลุงทำอะไรเพื่อตัวลุงเองซักที ยิ่งช่วงหลังมัฆริบ ลุงก็สอนกุรอานเด็กๆ เล่าประวัติศาสตร์ซอฮาบะฮ.
สำคัญๆให้ฟัง
ก็เพียงประโยคเดิมอีกนั่นแหละ ” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ...ผมไม่เคยเห็นลุงโกรธมากเท่ากับคนที่ทำผิดในเรื่องศาสนา
ลุงจะคอยโต้ตอบอย่างถึงที่สุด...เพื่อความถูกต้อง ลุงไม่เคยโกหกไม่เคยกลัวใคร(ยกเว้นอัลลอฮ.)เพียงเพราะประโยคเดิมๆ” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ลุงครับ...ผมไม่เข้าใจ ลุงแก่แล้ว แต่ทำไมลุงถึงสามารถตอบคำถามหลานๆได้
อย่างมีไหวพริบ ทะลุปรุโปร่ง รู้ทันไปซะหมด ทั้งๆที่ลุงเองก็ไม่ได้ออกไปเจอโลกภายนอก ซึ่งก็ผิดกับผมที่กลับเลอะๆเลือนๆ ย้ำคิดย้ำทำ สับสน ทำอะไรไม่เคยสำเร็จซักอย่าง ที่ลุงเป้นอย่างนี้ได้ ก็คงจะเป็นประโยคเดิมอีกใช่ไหมครับ ” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
” ขอเพียงเจ้าได้รักมัน มันก็จะเป็นทุกอย่างให้กับเจ้า”
ประโยคนี้คุณคงไม่สามารถที่จะตีความหมายมันออกมาได้เป็นแน่แท้ ถ้าคุณไม่รู้จักมันและลองปฏิบัติมันด้วยตัวคุณเอง
ก็เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้ชายแก่ธรรมดาๆคนหนึ่ง
กลายเป็นหนุ่มอย่างน่าทึ่ง ทั้งหัวใจ ความคิด ทั้งกำลังเรี่ยวแรง
ไม่มีส่วนไหนที่ดูว่าแก่ อวัยวะทุกส่วนถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่ที่ไม่ร่องรอยส่วนไหนที่บ่งบอกว่าใช้งานมานานเลย
ก็เพราะไม่มีมันนั่นแหละ ที่ทำให้ชายหนุ่มธรรมดาๆอย่างผมและคนอื่นๆกลายเป็นคนแก่ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
กำลังวังชาที่สมควรจะมีกลับหายไปหมด หลงเหลืออยู่แต่ความตระหนก หวาดกลัว สิ้นคิด
ไร้สาระไปวันๆ ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า ไร้จุดหมายปลายทาง คำว่าเยาวชน
ภาพสำหรับพวกเรากลับกลายเป็นตัวสร้างปัญหาให้สังคม น้อยเหลือเกินสำหรับภาพพจน์ดีๆที่ถูกมอง
ลุงครับ...ผมอาย...ผมอายลุงจังเลยครับ มันแตกต่างกันแค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆครับลุง
ตรงที่ลุงมีมัน...มัน ที่เป็น อิสลาม...อิสลามที่แปรเปลี่ยนเป็นกำลัง
เป็นทั้งเรี่ยวแรง ความคิด ปฏิญาณ ให้กับคนแก่อย่างลุง ชุบชีวิตมาให้หนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
แต่ผลมันกลับสะท้อนให้ผมได้เห็นว่า หากผมไม่มีมัน...มันที่เป็นอิสลาม ผมคงจะ



Andaikan diriku bisa
Seperti yang lain
Yang Kau sayang
Yang Kau rindukan
Yang Kau cintai

Aku lemah tanpaMu aku lelah
Aku sungguh tak berdaya
Tolongku
Tolongku
Yaa Allah

Setiap air mataku mengalir
Allah aku lemah dan tak berarti
Setiap derai tangis membasahi
Allah jangan tinggalkan aku lagi

Aku sayang Allah
Aku rindu Allah
Aku Cinta Allah

Aku lemah tanpaMu aku lelah
Aku sungguh tak berdaya
Tolongku
Tolongku
Yaa Allah

Setiap air mataku mengalir
Allah aku lemah dan tak berarti
Setiap derai tangis membasahi
Allah jangan tinggalkan aku lagi

Aku sayang Allah
Aku rindu Allah


เสียงร้องโหวกเหวกกลางทะเลทราย
เป้าหมายเลือดเนื้อปล้นทรัพย์ยึดสิน
เสียงระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่สิ้น
พี่น้องของฉันถูกเชือดถวายกาย

พวกหมาสัตว์ร้ายอุบาทชาติสันดานเลว
พวกเปรตโคตรเลวชาติชั่วสัตว์เหี้ย
พวกนรกจัญไรเลววิปริตผิดมนา
พวกสัตว์กะหมาเหี้ยๆแย่งแผ่นดินพี่น้องกู

ระเบิดบ้างกระสุนบ้างสาดกระหน่ำเข้าไป
อักศอขุดไปหวังทลายเสียสิ้น
อัฟกันตอลีบันปาเลสไตน์เอาระเบิดไปกิน
ศัตรูปลิ้นหมายปองเผ่าพันธ์มุสลิม
แต่ใยสลดใจตัวเองยิ่งนัก
ญาติฉันนี่เองส่งอาวุธให้
ร่วมวงส่งเสริมไอ้พวกจัญไร
โคกไง แฟนต้าไง ซื้ออาวุธให้พวกมัน

ดื่มกินเลือเองเต็มปากไร้ยางอาย
วางวายความคิดพี่ฉันน้องพี่
วิปริตทำตามพวกอัปปรีย์
บดขยี๊พี่น้องกูมลายพลัน

อัฟกันปาเลสไตน์เชชเนียโดนขย้ำ
เขาระส่ำคืนวันหนักหนา
ตรากตรำลำบากชีวิตจะได้มา
ชีวิตเกิดมาเพื่อสู้ผู้ทรหด

...แล้วช่วงเวลาก็เป็นประตูหนึ่งที่กลายเป็นบัญชี......


Ku? tak pernah merasa
Gundah di hatiku, Ketika denganmu
Saat kau, Kau belai rambutku
Kau temani aku, Kau basuh lukaku


Kini semua berlalu
Karena engkau tak memilihku

Salahkah aku mencintaimu
Walau kutahu kutak dihatimu
Egokah aku memilikimu
Walau kutahu kau tak memilihku
Kuharap tuhan cabut nyawamu
Agar tak ada yang milikimu

Sadarkah kini ku tak rela
Iman ku telah sirna
Mimpiku tak nyata

Kini semua berlalu
Karena engkau tak memilihku

Salahkah aku mencintaimu
Walau kutahu kutak dihatimu
Egokah aku memilikimu
Walau kutahu kau tak memilihku
Kuharap tuhan cabut nyawamu
Agar tak ada yang milikimu
Kuharap tuhan cabut nyawamu
Agar tak ada yang milikimu


Aku tak ingin kau menangis bersedih

Sudahi air mata darimu

Yang aku ingin

arti hadir diriku

Kan menghapus dukamu sayang

Karna bagiku

kau kehormatanku

Dengarkan dengarkan aku

Hanya satu pintaku

untukmu dan hidupmu

Baik baik sayang

ada aku untukmu

Hanya satu pintaku

disiang dan malammu

Baik baik sayang

karna aku untukmu

Semua keinginan

akan aku lakukan

Sekuat semampuku sayang

Karna bagiku

kau kehormatanku

Dengarkan dengarkan Aku

Look into my eyes สบตาฉันดูซิ

Tell me what you see บอกฉันว่าคุณเห็นอะไร

You don't see a damn thing คุณไม่เห็นสิงที่อัปยศในนัยน์ตาฉันหรือ

'cause you can't relate to me ใช่ เพราะคุณไม่ได้มีความสัมพันธุ์อะไรกับฉัน

You're blinded by our differences ตาของคุณถูกปิดโดยฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา

My life makes no sense to you ชีวิตของฉันไม้ได้ให้ความรู้สึกอะไรแก่คุณเลย

I'm the persecuted one ฉันเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกก่อกวน

You're the red, white and blue คุณคือ สี่แดง ขาว และ น้ำเงิน

Each day you wake in tranquility ทุกๆวันคุณตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข

No fears to cross your eyes ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

Each day I wake in gratitude ทุกๆวันฉันตื่นขึ้นมาด้วยกับการสำนึกบุญคุณ

Thanking God He let me rise ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ฉันลุกขึ้นมา

You worry about your education คุณกังวลเรื่องการศึกษาของคุณ

And the bills you have to pay และใบเสร็จที่คุณต้องจ่าย

I worry about my vulnerable life ฉันกังวลเกี่ยวกับชีวิตที่ไม่มั่นคงของฉัน

And if I'll survive another day และถ้าหากฉันรอดชีวิตไปได้ในวันถัดไป

Your biggest fear is getting a ticket คุณกลัวที่จะไม่ได้ตั้ว

As you cruise your Cadillac การล่องเรือสุดหรูของคุณ

My fear is that the tank that has just left แต่ฉันกลัวว่ารถถังที่จากไป

Will turn around and come back มันจะกลับมาอีกครั้ง

Yet, do you know the truth of where your money goes? คุณยังไม่รู้หรอว่าเงินของคุณหายไปไหน

Do you let your media deceive your mind? คุณให้สื่อของคุณต้มคุณได้อย่างไร

Is this a truth nobody, nobody, nobody knows มันคือความจริงที่ไม่มี ไม่มี ไม่มี่ใครรู้

Has our world gone all blind? โลกของเรามันบอดไปหมดแล้วหรือ


Do you know the truth of where your money goes? คุณยังไม่รู้หรอว่าเงินของคุณหายไปไหน

Do you let your media deceive your mind?คุณให้สื่อของคุณต้มคุณได้อย่างไร

Is this a truth nobody, nobody, nobody knows?มันคือความจริงที่ไม่มี ไม่มี ไม่มี่ใครรู้

Someone tell me...มีคนบอกฉัน

Ooohh, let's not cry tonight โอ้ อย่าร้องไห้เลยคืนนี้

I promise you one day it's through ฉันสัญญาว่ามันผ่านพ้นไปในสักวัน

Ohh my brothers, Ohh my sisters โอ้ พี่น้อง

Ooohh, shine a light for every soul that ain't with us no more แสงสว่างจะอยู่กันคนที่จากไปแล้ว

Ohh my brothers, Ohh my sisters โอ้พี่น้อง


See I've known terror for quite some time คุณรู้ไหม ฉันรู้จักความหวาดกลัวภายในระยะเวลาสั้นๆ

57 years so cruel 57ปีมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน

Terror breathes the air I breathe อากาศของความหวาดกลัวที่ฉันต้องหายใจ

It's the checkpoint on my way to school คือ จุดตรวจระหว่างทางที่ฉันจะไปโรงเรียน

Terror is the robbery of my land ความหวาดกลัวที่ขโมยดินแดนของฉันไป

And the torture of my mother และการทำร้ายแม่ของฉัน

The imprisonment of my innocent father การกักขังพ่อของฉันที่ไร้มลทิน

The bullet in my baby brother ห่ากระสุนในร่างน้องชายฉัน

The bulldozers and the tanks รถขนดินและรถถัง

The gases and the guns แก็สพิษและปืน

The bombs that fall outside my door ลุกระเบิดที่ตกนอกประตู

All due to your funds ทั้งหมดมันผ่านเงินทุนของคุณ

You blame me for defending myself คุณตำหนิฉันในการป้องกันตัวเอง

Against the ways of my enemies ต่อต้านศัตรูของฉัน

I'm terrorized in my own land ฉันถูกก่อการร้ายในดินแดนของฉัน

But am I the terrorist? ฉันเป็นผู้ก่อการร้ายกระนั้นหรือ


Yet, do you know the truth of where your money goes?คุณยังไม่รู้หรอว่าเงินของคุณหายไปไหน

Do you let your media deceive your mind?คุณให้สื่อของคุณต้มคุณได้อย่างไร

Is this a truth nobody, nobody, nobody knowsมันคือความจริงที่ไม่มี ไม่มี ไม่มี่ใครรู้

Has our world gone all blind?โลกของเรามันบอดไปหมดแล้วหรอ


Ooohh, let's not cry tonight, I promise you one day it's throughโอ้ อย่าร้องไห้เลยคืนนี้ฉันสัญญาว่ามันผ่านพ้นไปในสักวัน

Ohh my brothers, Ohh my sisters โอ้พีน้อง

Ooohh, shine a light for every soul that ain't with us no more แสงสว่างจะอยู่กันคนที่จากไปแล้ว

Ohh my brothers, Ohh my sisters,โอ้พี่น้อง

America, do you realize that the taxes that you pay คนอเมริกาคุณรู้ไหมภาษีที่คุณจ่ายไป

Feed the forces that traumatize my every living day มันสนับสนุนกองทัพที่สร้างความบอกช้ำในชีวิตประจำวันของฉัน

So if I won't be here tomorrow ดังนั้น ถ้าหากพรุ่งนี้ไม่มีฉัน

It's written in my fate มันคือชะตาที่ถูกเขียนไว้แล้ว

May the future bring a brighter day ขอให้พรุ่งนี้นำโชติช่างแห่งอรุณ

The end of our wait การยุติสงครามที่เรารอคอย

ด่าได้ใจมากกกกก

อัสสาลามูอาลัยกุม

คลิปชิ้นนี้ผมได้มาแล้วรู้สึกว่าได้ใจจริงๆ อนาคตอาจเป็นนักดาอียะฮฺก็ได้ใครจะไปรู้ ดูไปก็หัวเราะไป5555+ แต่มาคิดดูดีดีก็จริงของเขาสังคมเราเป็นอย่างที่เด็กผู้หญิงคนนี้พูดจริงๆ .......ถึงแม้จะเป็นงานตาดีกาเล็กๆ แต่เดะดังไปแล้ววววนะครับ เอาใจช่วยครับ วัสลาม






Top 7 Definitions Of Failure
เจ็ดนิยามของคำว่า”ล้มเหลว”

If someone asked how can we define failure, we can simply say that
ถ้าหากใครบางคนถามว่า เราจะให้นิยามคำว่าล้มเหลวอย่างไร เราสามารถตอบอย่างง่ายดายเลยว่า

Failure is an important part of your success, as much so, as not repeating your mistakes. :)

ความล้มเหลว คือ สิ่งที่สำคัญในความสำเร็จของคุณ ตราบใดที่คุณล้มเหลวตราบนั้นคุณก็จะไม่ผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ

1. "Failing to act on the dreams and visions you have for yourself"
ความล้มเหลวแสดงให้เห็นความฝันและวิสัยทัศน์ที่คุณมีอยู่ในตัวคุณ

2. "Not picking yourself up after you mess up"
หากคุณไม่ลุกขึ้นมาหลังจากที่คุณล้มลง

3. "Hurting others for personal gain, whether on purpose or accident" การทำลายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม


4. "Failing to understand WHY you are on this planet in the first place"
ความล้มเหลวเพื่อที่จะเข้าใจว่า ทำไมคุณเกิดมาบนโลกนี้เป็นที่แรก

5. "Failing to understand that you are here to serve others, and in exchange your needs will be taken care of"
ความล้มเหลวเพื่อที่จะเข้าใจว่า ทำไมคุณต้องเอาใจคนอื่นและคุณก็จะได้ความห่วงที่คุณต้องการ

6. "Failing to continually raise your standards each day" ความล้มเหลวเพื่อที่จะปรับปรุงตัวทุกๆวัน


7. "Accepting complacency"
เพื่อยอมรับสิ่งที่มีอยู่
อัสลามูอาลัยกุม ตั้งแต่เขียนบลอกนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ให้สลาม อาจจะมีใครซักคนหลงมาอ่านเนอะถึงไม่มีคนอ่านคุยกับตัวเองก็ได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วต้องมารับหน้าที่มานำเสนอกลอนรัก(น้ำเน่า)หน้าชั้นเรียนที่มีชื่อว่า "Red Red Rose" เขียนโดย Robert Burns ในปี 1794จริงๆแล้วกลอนนี้แต่งขึ้นมาเพื่อขับร้องขณะเขาไปเที่ยว Scotland ผมก็เลยลองมาแปลงเป็นภาษาไทยดูคงจะไม่ทำให้กลอนเขาเสียน่ะ ใครที่อ่านแล้วคิดอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยครับผม






O MY Luve’s like a red, red rose,

That’s newly sprung in June:

O my Luve’s like the melodie,

That’s sweetly play’d in tune.


As fair art thou, my bonnie lass,

So deep in luve am I;

And I will luve thee still, my dear,

Till a’ the seas gang dry.


Till a’ the seas gang dry, my dear,

And the rocks melt wi’ the sun:

And I will luve thee still, my dear,

While the sands o’ life shall run.


And fare-thee-weel, my only Luve,

And fare-thee-weel, a while!

And I will come again, my Luve,

Tho’ 'twere ten thousand mile!

รักของฉันเปรียบดังกุหลาบแดง ที่มีแรงในเดือนมิถุนา

รักของฉันคือโน้ตอันนานา ที่เริงร่าไปมาในทำนอง


ความงดงามของเธอเกินห้ามใจ ฉันหลงไปในรักตามขันลอง

ฉันจะรักรักเธอไม่จับจอง จะจ้องมองแม้สมุทรจะแห้งเหือด


จนกว่าน้ำทะเลจะแห้งไป แม้หินไหม้อาทิตย์ร้อนจนเดือด

เธอเป็นคนคนนั้นที่ฉันเลือก จนกว่าเลือดเม็ดทรายจะสลาย


แม้ข้าวยากหมากแพงฉันจะหา ฉันจะมาพบเธอทีฟ้าไกล

จะเป็นสิ่งที่เพ้อฝันคงไม่ใช่ สุดฟ้าไกลเพียงใดฉันรักเธอ




ใครว่าอังกฤษเป็นเรื่องยาก (ผมคราบบบบ) ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว (แต่ยากมาก)

Ten Things We Waste




1. Our Knowledge: Wasted by not taking action with it.

ความรู้ของเรา สิ้นเปลื้องโดยการไม่ปฏิบัติตามที่ได้เรียนมา


2. Our Actions: Wasted by committing them without sincerity.

การกระทำของเรา สิ้นเปลื้องโดยการให้ปราศจากความบริสุทธิ์ใจ


3. Our Wealth: Wasted by using on things that will not bring us ajr (reward from Allah). We waste our money, our status, our authority, on things which have no benefit in this life or in akhirah (hereafter).

ทรัพย์สมบัติความมั่งคั่งของเรา สิ้นเปลื้องโดยการใช้ในที่ไม่ได้นำความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ เราสูญเสียเงินทอง ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ ในสิ่งที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกอาคีเราะฮฺ


4. Our Hearts: Wasted because they are empty from the love of Allah, and the feeling of longing to go to Him, and a feeling of peace and contentment. In its place, our hearts are filled with something or someone else.

จิตใจของเรา สิ้นเปลื้องเพราะเหตุที่หัวใจของพวกเขาว่างเปล่าไม่มีความรู้สึกในความรักและความรู้สึกที่กลับไปสู่อัลลอฮฺ ความรู้สึกที่พึ่งพอใจและสันติภาพ แต่มันกลับแทนที่โดยบางสิ่งและบางคน


5. Our Bodies: Wasted because we don't use them in ibadah (worship) and service of Allah.

ร่างกายของเรา สิ้นเปลื้องเพราะเหตุที่เราไม่ได้ใช้ในการทำอีบาดะฮฺและรับใช้อัลลอฮฺ


6. Our Love: Our emotional love is misdirected, not towards Allah, but towards something/someone else.

ความรักของเรา เราใช้ความรักในทางที่ผิด,ไม่ไช่อัลลอฮฺแต่กลับเป็นบางสิ่งและบางคน


7. Our Time: Wasted, not used properly, to compensate for that which has passed, by doing what is righteous to make up for past deeds.


เวลาของเรา สิ้นเปลื้องไปโดยการใช้อย่างไม่รู้ค่า ชดเชยเวลาที่ผ่านไปแล้วโดยการกระทำที่เป็นความชอบธรรมเพื่อชดใช้ในการกระทำของเราในอดีต


8. Our Intellect: Wasted on things that are not beneficial, that are detrimental to society and the individual, not in contemplation or reflection.

สติปัญญาของเรา สิ้นเปลื้องกับสิ่งที่ไร้สาระที่เป็นอันตรายต่อสังคมและปัจเจกคน ไม่ได้ใช้ในการใคร่ครวญหรือการสำนึกผิด


9. Our Service: Wasted in service of someone who will not bring us closer to Allah, or benefit in dunyaa.

การรับใช้และบริการของเรา สิ้นเปลื้องในการบริการรับใช้บางคนผู้ซึ่งไม่สามารถนำเราเข้าใกล้อัลลอฮฺ หรือ รับใช้เพือผลประโยชน์บนโลกดุนยา


10. Our Dhikr (Remembrance of Allah): Wasted, because it does not affect us or our hearts.

ความจำของเรา สิ้นเปลื้องเพราะเหตุที่ไม่ได้ทำให้จิตใจของเราอ่อนลงจากความแข็งกระด่าง

From Br. Mukhtar, based on a lesson of Imam Ibn Qayyim al-Jawziyyah