ไสยศาสตร์ในอิสลาม

ความหมายของไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาและเลขยันต์ประกอบกับการใช้อำนาจ สมาธิ จิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และ การปลุกเสก ในทัศนะอิสลาม ไสยศาสตร์คือวิชาความรู้ที่มาจากญินและชัยฏอน เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้นลับ และมันก็มีความเร้นลับจริงๆ ในอายะห์ที่ 102 ของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ได้แสดงให้เห็นว่าในอิสลามก็มีการกล่าวถึงวิชาว่าด้วยไสยศาสตร์ ว่าเป็นศาสตร์ของขัยฏอน และเป็นการปฏิเสธการศรัทธา นอกจากนี้อายะห์นี้ยังบอกอีกว่า วิชาไสยศาสตร์มีมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่สมัยบาบิโลน ขณะที่ในสมัยฟิรเอาว์ก็เคยมีการนำวิชาไสยศาสตร์มาต่อกรกับนะบีมูซา อะลัยฮิสลาม เช่นกัน
จุดเริ่มต้นของไสยศาสตร์
พระเจ้าตรัสไว้ในกุรอานว่า

1. และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธความศรัทธา 2. แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยการสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน 3. และสิ่งที่ถูกประทานมาแก่มลาอิก๊ะฮฺทั้งสองคือฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า “แท้จริง เราแค่เป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธความศรัทธาเลย” 4. แม้กระนั้น ผู้คนก็ยังศึกษาจากเขาทั้งสอง 5. ซึ่งมันได้เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา 6. และพวกเขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น 7. และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาและมิได้เป็น คุณแก่พวกเขา และแน่นอน 8. พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ซื้อมันจะไม่มีส่วนแห่งความดีใดในโลกหน้าและความชั่วคือราคาที่พวกเขาขายชีวิตของพวกเขาถ้าหากพวกเขารู้” (กุรอาน อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 102)

อธิบายได้ดังนี้
1. สุลัยมานได้รับไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ หรือเทวทูตสองท่านชื่อ ฮารูตและมารูต ซึ่งสุลัยมานยังคงเป็นมุสลิม (ไม่ปฏิเสธศรัทธา)
2. ชัยฏอนก็ได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน โดยที่มาจากแหล่งเดียวกันคือ เทวทูตสองท่านนั้น
3. อัลลอฮ์ให้มลาอิกะห์นำไสยศาสตร์ลงมาแก่สุลัยมาน รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อการทดสอบไม่ใช่การใช้งาน
4. นอกจากมลาอิกะห์สอนสุลัยมาน มลาอิกะห์สองท่านนั้นยังสอนคนอื่นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ชัยฏอน
5. ผลของไสยศาสตร์ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน
6. ไสยศาสตร์ทำอันตรายกับผู้ใดก็ได้ หากอัลลอฮ์อนุญาต
7. ไสยศาสตร์เป็นอันตรายกับตัวผู้เรียนด้วย และไม่มีคุณค่าใด
8. ราคาของไสยศาสตร์คือความความดีที่เสียไป
ไสยศาสตร์มีสองประเภทหลักๆคือ
1. ไสยศาสตร์เพื่อทำลายผู้อื่น คือการนำไสยศาสตร์มีเป้าหมาย เพื่อให้ชัยฏอนไปทำร้ายคนที่เราต้องการ เช่นการทำของตามคำสั่งของชัยฏอนด้วยการทำของ แล้วมันก็จะไปทำตามคำสั่ง อย่างเช่น อยากให้คนนั้นเลิกกับคนนี้ อยากให้คนนั้นมาเป็นของเรา (การทำเสน่ห์) ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นของที่ทำนั้นพวกนักไสยศาสตร์จะเขียนเหมือนอายะห์กุรอ่าน แต่แท้ที่จริงแล้วให้ระมัดระวังให้ดี อาจจะเป็นการเขียนข้อความบิดเบือนกุรอ่าน หรือเป็นคำที่ใช้สรรเสริญชัยฏอนก็ได้ ถึงแม้จะเป็นภาษาอาหรับก็ตาม นอกจากนี้ยังมีของที่พบเห็นเป็นส่วนมากอย่างเช่นการทำปมเชือกแล้วเป่าลงไป ซึ่งในอายะห์ที่ 4 ของซูเราะห์อัลฟะลัก มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งวิธีการแก้ก็คือ ขณะที่เราจะฉีก หรือแก้ปมเชือกก็ให้เราอ่านอายะห์กุรซี และ 3 กุล (อัลอิคลาส,อัลฟะลัก,อันนาซ)
2. ไสยศาสตร์ที่ใช้ในการติดต่อญิน ญินมาเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์อย่างไร ญินคือสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่อยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์ แต่มิใช่มะลาอิกะห์ ญินและมนุษย์มีส่วนคล้ายกันบ้างเช่นมีปัญญารับรู้และได้รับสิทธิในการเลือกเฟ้น แต่ก็ต่างกันหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุของแต่ละฝ่าย ญินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างมาจากไฟในขณะที่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างมาจากดิน ซึ่งญินมีทั้งดีและชั่ว ญินที่ชั่วคือชัยฏอนหรือมารร้ายและหัวหน้าของชัยฏอนคืออิบลีส เนื่องจากญินถูกสร้างจากไฟ และมนุษย์มีธาตุไฟอยู่ซึ่งเป็นช่องทางทำให้มันสามารถแทรกเข้าไปในตัวคนได้ ในกรณีที่คนผู้นั้นมีความศรัทธาอ่อนแอ และเมื่อมันเข้าไปแล้วมันก็จะแสดงพฤติกรรมของมันผ่านทางตัวคนนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่เราจะเห็นผู้หญิงแก่ที่ถูกญินเข้าสามารถว่ายน้ำได้เหมือนผู้ชายร่างกายแข็งแรง หรือบางครั้งพูดภาษาต่างประเทศได้ คำว่า "ญิน" มีความหมายในเชิงปกปิดซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ไม่สามารถมองเห็น "ญิน" ได้ (หากเขามิได้จำแลงให้เห็น) อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"แท้จริงเขาเห็นพวกเจ้า ทั้งเขาและผู้ที่เป็นประเภทเดียวกับเขา โดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา" (อัลอะอ์ร๊อฟ/27)
อย่างพวกหมอดู ที่จะใช้ญินในการเอาข้อมูลต่างๆ มา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมอดูจะใช้ญิน ให้มาถามข้อมูลจากญินที่ติดตามตัวเรา แล้วญินของหมอดูก็จะไปบอกหมอดูว่าเราเป็นใครมาจากไหน อีกทั้งยังใช้ญินเป็นเครื่องทำนายจากกุรอานที่ว่า
และแท้จริงเราได้ค้นคว้าหาข่าว ณ ชั้นฟ้า แต่เราได้พบ ณ ที่นั่งเต็มไปด้วยยามเฝ้าผู้เข้มแข็งและเปลวเพลิง
และแท้จริงเราเคยนั่ง ณ สถานที่นั่งในท้องฟ้านั้นเพื่อฟัง แต่ขณะนี้ผู้ใดนั่งฟังเขาก็จะพบเปลวเพลิงถูกเตรียมไว้สำหรับเขา (อัลญิน 8-9)
ญินได้กล่าวว่า พวกเราได้ขึ้นไปบนชั้นฟ้าเพื่อจะฟังข่าวคราว (อนาคต) จากชั้นฟ้าแต่เราได้พบ ณ ชั้นฟ้านั้นเต็มไปด้วยมะลาอิกะฮฺอย่างหนาแน่น ซึ่งทำหน้าที่เป็นยามเฝ้า และเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ซึ่งจะใช้ขว้างขับไล่ผู้ที่พยายามเข้าไปใกล้ ซึ่งสมัยก่อนร่อซูลมุฮัมมัดเราเคยใช้เป็นที่นั่งเพื่อฟังข่าวคราวจากท้องฟ้า เพื่อนำไปแจ้งแก่นักพยากรณ์
ในคัมภีร์กุรอานและในฮะดีษบอกให้เรารู้ว่ามนุษย์บางคนก็เป็นเพื่อนกับชัยฏอน เช่น คนที่สุรุ่ยสุร่ายเป็นพวกพ้องของชัยฏอน เป็นต้น ทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับญินจนถึงขั้นเลี้ยงไว้ใช้งานจะได้รับความทรมานและทุรนทุรายก่อนตาย หากไม่หาคนมารับมันไปเลี้ยงต่อ ญิน มีความสามารถแตกต่างจากมนุษย์ อัลกุรอ่านได้เล่าถึง "อิฟรีต" ผู้เป็นญินที่รับใช้ท่านนบีสุลัยมานว่าสามารถย้ายบัลลังก์ของ "บัลก๊อยส์"มาให้ท่านนะบีสุลัยมานได้ในพริบตา (ดูอัลกุรอ่าน บท อัลนัมลุ / 38-39) อีกทั้งสามารถจำแลงตนเป็นรูปร่างต่างๆได้ มนุษย์จึงสามารถเห็นญินได้นอกเหนือจากนี้ญินยังสามารถทำร้ายมนุษย์ได้ด้วยวิธีการต่างๆ หมอไสยศาสตร์จึงได้ใช้ญินเป็นสื่อเพื่อที่จะให้ผู้คนเชื่อว่าเขามีพลังอำนาจ สามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ สามารถสร้างความเจ็บป่วยหรือความสบายให้ใครๆได้ แต่หารู้ไม่ว่าเขากำลังนำพาตัวของเขาและผู้ที่หลงเชื่อตามเขาไปสู่ความหายนะทั้งโลกนี้และโลกหน้า ท่านนะบีมุฮัมหมัด เคยบอกซอฮาบะห์ว่าทุกคนมีญิน ซึ่งแม้แต่นะบีเองก็มี แต่ท่านได้สอนให้มันเข้ารับอิสลามแล้ว นอกจากนี้แล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วก็เป็นไสยศาสตร์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวที่มุสลิมต้องระมัดระวังและห่างไกล โดยที่ในปัจจุบันมีการทำแผ่นกระดานออกมาเป็นเป็นเกมเล่นกันอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งในยุโรป หรือแม้แต่ในประเทศอาหรับเอง
ท่านเชคอิบนุตัยมิยะฮฺกล่าวไว้ว่า "การมีอยู่ของญินนั้นมีหลักฐานชัดเจนจากอัลกุรฺอานและอัลหะดีษและยังเป็นสิ่ งที่บรรดาอุละมาอฺ (นักวิชาการ)ในยุคก่อนๆ มีความเห็นตรงกัน และเช่นเดียวกันการเข้าครอบงำของญิน และการสิงสู่ของมันในตัวของมนุษย์นั้นก็เป็นเรื่องที่บรรดาอุละมาอฺชาวสุนนะ ฮฺทั้งหลายให้การยอมรับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน โดยผู้ที่ถูกเข้าสิงนั้นจะพูดจะทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งถูกตีอย่างแรงก็ตาม"

ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อะหฺมัด อิบนุหันบัลกล่าวว่า "แท้จริงมีกลุ่มคนจำนวนมากที่อ้างว่าญินนั้นไม่สามารถเข้าสิงสู่ในตัวมนุษย์ ได้ ท่านอิมามอะหฺมัดตอบว่า โอ้ลูกรักคนเหล่านั้นพูดเรื่องโกหกแล้ว"
อิสลามว่าอย่างไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ถือว่าเป็นบาปใหญ่ นักกฎหมายบางท่านถือว่าเป็นชิริก หรือเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำชิริก และบางคนถือว่าพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ มนตร์ดำ ควรถูกประหารเพื่อให้สังคมบริสุทธิ์จากความเลวทรามของมัน ท่านนะบี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดว่า
จงหลีกห่างจากความเสียหาย 7 ประการ แล้วท่านก็กล่าวว่า “การตั้งภารคีต่ออัลลอฮ ไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตที่ต้องอัลลอฮทรงห้ามเว้นแต่ด้วยความชอบธรรม การกินทรัพย์สินของเด็กกำพร้า การกินดอกเบี้ย การหนีสงคราม และการใส่ร้ายสตรีผู้ศรัทธา (มุอฺมินะฮฺ) ว่ากระทำซินา” (เศาะหีหฺ, บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ (2766. 5764) มุสลิม (89) อบูอะวานะฮฺ (1/54) และอันนะสาอีย์ (6/257) จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ)
ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ประกาศสงครามกับคนที่อ้างว่ารู้ อดีต อนาคต และเรื่องเร้นลับต่างๆ โดยท่านอ่านโองการจากอัลกุรอานให้ฟังว่า
“จงกล่าวเถิด ไม่มีใครในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรู้สิ่งเร้นลับ นอกจากอัลลอฮ์” (อัลนัมลฺ อายะฮฺที่ 65)


ไสยศาสตร์คือสะพานสู่การตั้งภาคีต่อ อัลลอฮ์ ทรงดำรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ความว่า
“และจงรำลึก เมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแน่นอน” [ลุกมาน 31:13]
เรื่องแรกที่ท่านลุกมานได้ตักเตือนบุตรของท่านคือ อย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เป็นการยืนยันว่าความผิดที่อันตรายที่สุดคือ ชิริก บางคนบอกว่าลูกฉันเป็นมุสลิมไม่มีทางทำชิริก จึงไม่ตักเตือน และคิดว่าชิริกคือการกราบไหว้รูปเจว็ดเท่านั้น แต่ที่จริงพฤติกรรมแห่งชิริกมีมากมาย เช่น การเชื่อในวัตถุ ดวงดาว หรือหลงใหลวัตถุ เป็นต้น ซึ่งการทำชิริกจะเบี่ยงเบนเราจากการเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์ รูปแบบของชิริกที่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการทำไสยศาสตร์ซึ่งมันคือรูปแบบหนึ่งของการตั้งภาคีแบบเปิดเผย อิสลามต่อต้านพวกหมอดู นักเวทย์มนต์ นักไสยศาสตร์ การเชื่อโชคลาง เนื่องจากมันเป็นเหตุไปสู่การทำชิริก(การตั้งภาคี) นอกจากอายัตอัลกุรอ่านและอัลฮะดิษที่ได้นำมาอ้างไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายอายัตและหลายฮะดิษอีกเช่นกันที่ได้ห้ามการทำไสยศาสตร์ รวมไปถึงคำกล่าวของบรรดานักวิชาการ
อำนาจแห่งมนต์ดำ เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเอง หากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย เวทมนต์ไสยศาสตร์ มีกล่าวในอัลกุรอ่านไว้หลายแห่งและยืนยันว่ามันมีอยู่จริง นักวิชาการซุนนะห์แบ่งมันออกเป็นสองประเภทใหญ่คือ 1. ภาพลวงตา คือเป็นแค่ภาพลวงตา เช่นการกระทำของนักมายากลทั้งหลาย 2. สอง มนต์ดำที่ทำร้ายผู้คนได้โดยอาศัยพลังของชัยฏอนมารร้าย
เวทมนต์และไสยศาสตร์ มิได้มีพลังโดยตัวของมันเองหากแต่อาศัยพลังของซาตานมารร้าย ดังนั้นผู้ที่จะเป็นนักไสยศาสตร์ได้ก็ต้องปฏิเสธอัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูล(ศาสดาหรือนะบี)เสียก่อนด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ซาตานกระซิบบอก เช่น เขียนอัลกุรอ่านด้วยเลือดสุนัข ด้วยเลือดประจำเดือนของสตรี นำอัลกุรอ่านไปทิ้งลงในที่ๆสกปรกที่สุด หรือร้องขอต่อชัยฏอน อย่างนี้เป็นต้น
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ ริสาละฮฺอัลญิน หน้า 8
หนังสือมุคตะศ็อรฺ อัลฟะตาวา อัลมิศรียะฮฺ หน้า 584
บุคอรีย์ (2766. 5764)
มุสลิม(89)
อบูอะวานะฮฺ (1/54)
อันนะสาอีย์ (6/257) และเว็บไซต์อิสลามมอร์

เรียบเรียงโดย Anas Dawor (ibnu shati-e)

ไม่มีความคิดเห็น: